การบริจาคเม็ดเลือดแดง
การบริจาคเม็ดเลือดแดง (Single Donor Red Cells)
เม็ดเลือดแดง (Red blood Cells) เป็นส่วนประกอบชนิดหนึ่งของเลือด มีหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ผู้ป่วยที่ต้องใช้เม็ดเลือดแดงชนิด Single Donor Red Cells ในการรักษา ได้แก่
-
ผู้ป่วยโรคเลือดที่ต้องได้รับเลือดประจำ เช่น ธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น
-
ผู้ป่วยที่เป็นหมู่เลือดพิเศษหรือหายาก
-
ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้เลือดรุนแรง (Anaphylaxis)
คุณสมบัติผู้บริจาคเม็ดเลือดแดง
-
อายุ 17 ปีบริบูรณ์ – 60 ปี (บริจาคเม็ดเลือดแดงครั้งแรก อายุไม่เกิน 50 ปีและต้องบริจาคโลหิตรวมที่ศูนย์บริการโลหิตฯ มารวมอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 1 ปี)
-
ผู้บริจาคชาย น้ำหนักเท่ากับหรือมากกว่า 59 กิโลกรัม ส่วนสูงมากกว่า 155 เซนติเมตร
-
ผู้บริจาคหญิง น้ำหนักเท่ากับหรือมากกว่า 68 กิโลกรัม ส่วนสูงมากกว่า 165 เซนติเมตร
-
มีเส้นเลือดที่ข้อพับแขนมองเห็นชัดเจน
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงก่อนมาบริจาค เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ เป็นต้น
-
มีค่าความเข้มข้นโลหิต Hct มากกว่า 40 % และ Hemoglobin มากกว่า 14.0 g/dl
-
มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการบริจาคโลหิต
การบริจาคเม็ดเลือดแดง
บริจาคด้วยเครื่องแยกส่วนประกอบโลหิตอัตโนมัติ (Blood Cell Separator) จะแยกเก็บ เฉพาะเม็ดเลือดแดงไว้ โดยคืนส่วนอื่นกลับสู่ร่างกาย และชดเชยเลือดที่บริจาคด้วยน้ำเกลือ 400 มิลลิลิตรให้แก่ผู้บริจาค ใช้เวลาประมาณ 45 นาที บริจาคได้ทุก 4 เดือน
วัน/เวลาทำการห้องบริจาคเม็ดเลือดแดง
-
วันจันทร์ พุธ ศุกร์
(ไม่ปิดพักกลางวัน)
เวลา 08.30-16.30 น.
(ปิดรับบริจาคเกล็ดเลือด เวลา 15.00 น. ) -
วันอังคาร พฤหัสบดี
(ไม่ปิดพักกลางวัน)
เวลา 07.30-19.30 น.
(ปิดรับบริจาคเกล็ดเลือด เวลา 17.00 น. ) -
วันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์
(ไม่ปิดพักกลางวัน)
เวลา 08.30-12.30 น.
(ปิดรับบริจาคเกล็ดเลือด เวลา 11.30 น.)
นัดหมายการบริจาคเกล็ดเลือด หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2-263-9600 -99 ต่อ 1143,1144
การบริจาคเกล็ดเลือด
การบริจาคเกล็ดเลือด (Single Donor Platelets)
เกล็ดเลือด (platelet) คือส่วนประกอบของเลือดชนิดหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมาก มีหน้าที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด และอุดรอยฉีกขาดของหลอดเลือด ปริมาณเกล็ดเลือดในคนทั่วไปมีค่าประมาณ 150,000 – 450,000 ตัวต่อปริมาณเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร (150,000 – 450,000/mm3) ผู้ป่วยที่มีปริมาณเกล็ดเลือดต่ำ อาจทำให้มีเลือดออกซึ่งรุนแรงถึงชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องได้รับเกล็ดเลือด (platelet transfusion) เพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว จึงมีการให้เกล็ดเลือดในผู้ป่วยที่มีเลือดออกจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำหรือทำงานผิดปกติ หรือผู้ป่วยที่ไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือดได้น้อย (เช่น โรคไขกระดูกฝ่อ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคตับ) หรือผู้ป่วยที่สูญเสียเกล็ดเลือดจำนวนมาก (เช่น โรคไข้เลือดออก การผ่าตัดใหญ่ การตกเลือดหลังคลอดบุตร เลือดออกจากอุบัติเหตุ เป็นต้น)
คุณสมบัติผู้บริจาคเกล็ดเลือด
-
เพศชาย
เนื่องจากผู้บริจาคเพศหญิงอาจทำให้มีอุบัติการณ์แทรกซ้อน ในผู้ป่วยที่มีสาเหตุจาก แอนติบอดี้ต่อเม็ดเลือดขาว มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวเป็นมาตรฐานสากลในการบริจาคเกล็ดเลือดรายเดียวด้วยวิธี Plateletpheresis -
มีสุขภาพแข็งแรง
ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการบริจาคโลหิต -
อายุ 17 ปีบริบูรณ์ – 60 ปี
บริจาคเกล็ดเลือดครั้งแรก อายุไม่เกิน 50 ปีและต้องบริจาคโลหิตรวมที่ศูนย์บริการโลหิตฯ มารวมอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 1 ปี -
น้ำหนัก
อย่างน้อย 50 กิโลกรัม -
ปริมาณเกล็ดเลือด
มีปริมาณเกล็ดเลือดก่อนบริจาค ไม่น้อยกว่า 150,000/ไมโครลิตร และหลังบริจาคต้องมีปริมาณเกล็ดเลือด ไม่น้อยกว่า 100,000/ไมโครลิตร (ผู้บริจาคจะได้รับตรวจ CBC* ซึ่งเป็นการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ก่อนการบริจาค) -
เส้นเลือด
มีเส้นเลือดที่ข้อพับแขน มองเห็นชัดเจน -
อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
ไม่กินยาแก้ปวดแอสไพริน ยาแก้ปวดข้อและ ยาที่อยู่ในกลุ่ม NSAIDs อย่างน้อย 48 ชั่วโมง -
อย่างน้อย 72 ชั่วโมง
หยุดรับประทานขมิ้นชันหรือน้ำมันปลา อย่างน้อย 72 ชั่วโมง ก่อนมาบริจาค เนื่องจากอาจมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด
วิธีการบริจาค
การบริจาคเกล็ดเลือด (Single Donor Platelets) สามารถบริจาคได้ทุกเดือน โดยรับบริจาคด้วยเครื่องแยกส่วนประกอบโลหิตอัตโนมัติ (Blood Cell Separator) เครื่องจะแยกเกล็ดเลือดเก็บและคืนส่วนอื่นกลับสู่ร่างกาย ใช้เวลาในการบริจาคแต่ละครั้งประมาณ 1-2 ชั่วโมง
วัน/เวลาทำการห้องบริจาคเกล็ดเลือด
-
วันจันทร์ พุธ ศุกร์
(ไม่ปิดพักกลางวัน)
เวลา 08.30-19.30 น.
(ปิดรับบริจาคเกล็ดเลือด เวลา 17.30 น. ) -
วันอังคาร พฤหัสบดี
(ไม่ปิดพักกลางวัน)
เวลา 07.30-19.30 น.
(ปิดรับบริจาคเกล็ดเลือด เวลา 17.30 น. ) -
วันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์
(ไม่ปิดพักกลางวัน)
เวลา 08.30-12.30 น.
(ปิดรับบริจาคเกล็ดเลือด เวลา 11.30 น.)
นัดหมายการบริจาคเกล็ดเลือด หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2-263-9600 -99 ต่อ 1143,1144
การบริจาคพลาสมา
การบริจาคพลาสมา (Single Donor Plasma)
พลาสมาหรือน้ำเหลืองนั้นเป็นส่วนของประกอบของเลือดที่ได้หลังจากแยกส่วนของเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดออกไป ในพลาสมาจะประกอบไปด้วยสารโปรตีน ได้แก่ อัลบูมิน โกลบูลิน อิมมูโนโกลบูลิน สารที่ทำให้เลือดแข็งตัว มีหน้าที่สำคัญในการรักษาปริมาณน้ำภายในหลอดเลือด ต่อต้านเชื้อโรคและช่วยในการแข็งตัวของเลือด สามารถนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยา ได้แก่
-
1. แฟคเตอร์ 8 (Factor VIII Concentrate)
โรคฮีโมฟีเลีย เอ (โรคเลือดออกง่ายทางพันธุกรรม)
-
2. ไอวีไอจี IVIG (Intravenous Immune Globulin)
โรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเอง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคทางระบบประสาทที่มีสาเหตุจากความผิดปกติ ของภูมิคุ้มกัน
-
3. อัลบูมิน (Albumin)
โรคเรื้อรังที่มีภาวะขาดสารอัลบูมินในกระแสเลือด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งที่มีความ ล้มเหลวของระบบอวัยวะ
-
4. เซรุ่มป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี และเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
คุณสมบัติผู้บริจาคพลาสมา
-
อายุ 17 ปีบริบูรณ์ – 60 ปี (บริจาคเกล็ดเลือดครั้งแรก อายุไม่เกิน 50 ปีและต้องบริจาคโลหิตรวมที่ศูนย์บริการโลหิตฯ มารวมอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 1 ปี)
-
น้ำหนักอย่างน้อย 50 กิโลกรัม
-
เส้นเลือดที่ข้อพับแขนมองเห็นชัดเจน
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงก่อนมาบริจาค เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ เป็นต้น
-
มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการบริจาคโลหิต
-
สำหรับผู้บริจาคโลหิตโครงการบริจาคพลาสมาทำเซรุ่มไวรัสตับอักเสบบี และเซรุ่มพิษสุนัขบ้า
-
โครงการบริจาคพลาสมาทำเซรุ่มไวรัสตับอักเสบบี เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเจาะเลือดประมาณ 6 mL ส่งงานห้องปฏิบัติการเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดเพื่อตรวจ Anti-HBsAg ว่ามีหรือไม่ เมื่อทราบผลทำการคัดแยกเข้าโครงการ ในกรณีที่ผลการตรวจ Anti-HBsAg เป็นบวก (มากกว่าหรือเท่ากับ 5 IU/mL) ให้เข้าโครงการเซรุ่มป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (Human Hepatitis-B Immunoglobulin HBIG) และทำบัตรนัดฉีดยา โดยนัดฉีดยาเดือนละ 1 เข็ม เป็นเวลา 3 เดือน ติดต่อกันพร้อมทั้งเจาะโลหิตตรวจหาระดับ Anti-HBsAg ก่อนฉีดยาเข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 ผลภูมิหลังฉีดยาครบ 3 เข็มต้องมากกว่า 10 IU/mL เมื่อฉีดยาเข็มที่ 3 ครบแล้ว 2 สัปดาห์ เริ่มบริจาคพลาสมาได้และสามารถบริจาคได้ทุก 14 วัน ในระหว่างที่อยู่ในโครงการบริจาคพลาสมาจะต้องมีการฉีดยากระตุ้นตลอดทุก 3 เดือนพร้อมทั้งตรวจระดับ Anti- HBsAg ทุก 3 เดือน
-
โครงการเซรุ่มป้องกันพิษสุนัขบ้า (Human Rabies Immunoglobulin, HRIG) โดยจะฉีดวัคซีน VERORAB 0.2 mL ID แบ่งฉีดกล้ามเนื้อ (Deltoid) ที่แขนทั้ง 2 ข้างๆ ละ 0.1 mL ทำบัตร นัดฉีดยากำหนดวันดังนี้
-
ฉีดวัคซีนครั้งที่ 1 (Day 0)
วันที่……..(วันที่มาฟังผลและตกลงเข้าโครงการ)
-
ฉีดวัคซีนครั้งที่ 2 (Day7)
วันที่……..(7 วันหลังจากฉีดยาเข็มที่ 1)
-
ฉีดวัคซีนครั้งที่ 3 (Day21)
วันที่……..(21 วันหลังจากฉีดยาเข็มที่ 1)
- หลังจากฉีดยาครบ 3 เข็ม แล้วเมื่อครบกำหนด 2 สัปดาห์ เริ่มบริจาคพลาสมาได้ และสามารถ บริจาคได้ทุก 14 วัน ในระหว่างที่อยู่ในโครงการบริจาคจะต้องมีการฉีดยากระตุ้นตลอดทุก 3 เดือน
พลาสมาในกลุ่มที่ไม่ต้องฉีดวัคซีนผลิต Fractionation คัดเลือกผู้บริจาคแบบเดียวกันแต่ไม่ต้องมีการฉีดวัคซีน
-
การดูแลเพิ่มเติมสำหรับผู้บริจาคพลาสมา
ตรวจติดตามระดับ Total Protein และ Albumin ทุก 6 เดือน ในผู้บริจาคพลาสมาทุก ถ้า Protein ต่ำกว่า 6.0 g/dl ให้ผู้บริจาคหยุดการบริจาคชั่วคราว และนัดมาตรวจซ้ำหลังจาก นั้น 1 เดือน ถ้ามากกว่า 6.0 g/dl สามารถบริจาคต่อได้
-
วิธีการบริจาค
การบริจาคพลาสมา จะบริจาคด้วยเครื่องแยกส่วนประกอบโลหิตอัตโนมัติ (Blood Cell Separator) ใช้เวลาในการบริจาค ประมาณ 45 นาที ครั้งละ 500 ซีซี บริจาคได้ทุก 14 วัน
วันและเวลาทำการ
-
วันจันทร์ พุธ ศุกร์
(ไม่ปิดพักกลางวัน)
เวลา 08.30-16.30 น.
(ปิดรับบริจาคเกล็ดเลือด เวลา 15.30 น. ) -
วันอังคาร พฤหัสบดี
(ไม่ปิดพักกลางวัน)
เวลา 07.30-19.30 น.
(ปิดรับบริจาคเกล็ดเลือด เวลา 18.00 น. ) -
วันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์
(ไม่ปิดพักกลางวัน)
เวลา 08.30-12.30 น.
(ปิดรับบริจาคเกล็ดเลือด เวลา 12.00 น.)
นัดหมายการบริจาคเกล็ดเลือด หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2-263-9600 -99 ต่อ 1143,1144
วันและเวลาทำการห้องรับบริจาคพลาสมา ชั้น 2
(ไม่หยุดพักกลางวัน)
เปิดทำการเฉพาะ วันจันทร์-ศุกร์
เวลา 08.30-16.30 น.
ปิดทำการวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์